Summary
คุยกับ ศรัณญ อยู่คงดี ผู้ก่อตั้ง ‘SARRAN’ แบรนด์จิวเวลรีที่ขับเคลื่อนเรื่องหญิงไทยและวิถีไทยให้ชาวโลกได้ประจักษ์ผ่านงานออกแบบเครื่องประดับสุดอาร์ต ถึงความตั้งใจสร้างโลกให้ความสำคัญกับดีไซน์มากกว่าวัสดุและวิธีบุกตลาดโลกด้วย “เรื่องเล่า ผู้หญิง และดอกไม้”
“ผมต้องการพิสูจน์ว่าเครื่องประดับของผมมีมูลค่าเทียบเท่าเพชร” เอก – ศรัณญ อยู่คงดี Jewelry Designer ผู้ก่อตั้ง ‘SARRAN’ แบรนด์เครื่องประดับที่ขับเคลื่อนเรื่องหญิงไทยและวิถีไทยให้ชาวโลกประจักษ์ผ่านงานออกแบบเครื่องประดับระดับสุดยอดของความงดงาม
นี่ไม่ใช่ความคิดต่อต้านทุนนิยมแต่เป็นความคิดในช่วงชีวิตหนึ่งของศรัณญที่ต้องการเอาชนะคุณพ่อที่ทอดทิ้งเขาไปตั้งแต่เด็กและยังเคยฟ้องร้องขอนามสกุลคืน เพียงเพราะเขาเลือกเรียนอาชีวะ
“คุณพ่อทำธุรกิจจิวเวลรีและท่านก็มักจะพูดถึงมูลค่าของเพชร แม้เหตุผลจริงๆ ที่ผมเลือกทำแบรนด์ จิวเวลรีเพราะมีคุณแม่เป็นแรงบันดาลใจ แต่ลึกๆ อยากพิสูจน์ให้เห็นว่าคุณไม่ควรตัดสินมูลค่าอะไรก็ตามจากบรรทัดฐานของสังคม การทำจิวเวลรีเพื่อเอาชนะใครสักคน มันเป็นช่วงเวลาที่เป็นพลังลบของผม แต่มันก็เป็นตัวที่ผลักดันให้ผมมาถึงจุดนี้”
ภาพจาก FB: SARRAN
ภาพถ่ายโดย พีระรัตน์ ธรรมจง
ภาพจาก FB: SARRAN
LISA เมื่อครั้งออกอัลบั้ม LALISA
และเครื่องประดับดอกบัว
จากคอลเลกชัน LIGHT OF LOTUS
รวมถึงชุดที่ SARRAN ทำงานร่วมกับ Mesh Museum
มีเครื่องประดับ Ma-li ที่ได้แรงบันดาลใจจากดอกพุดซ้อน
ตกแต่งด้วยเทคนิคการร้อยพวงมาลัยมะลิ
LISA สวมไปร่วมงานเปิดตัว The White Lotus
ทั้งที่ LA และที่ประเทศไทย
การได้รับรางวัล VOGUE Who’s On Next จากนิตยสาร VOGUE THAILAND ตั้งแต่เมื่อปี 2016 และได้วางขายสินค้าใน Club 21 ย้อนหลังกลับไปในวันนั้น ความสำเร็จดังกล่าวนับเป็น Epic! น้อยคนนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนไทยที่จะ “ทำถึง” มาตรฐานระดับโลกเช่นนั้นในเรื่องการออกแบบเครื่องประดับ
มาถึงในวันนี้ รางวัลนักออกแบบแห่งปี (Designer of the Year) สาขา Jewelry Design ปี 2021หรือการได้จัดแสดงชิ้นงานถาวรที่ Museum of Art & Design ที่นิวยอร์ก ไปจนถึงโอกาสร่วมงานกับแบรนด์ระดับโลกมากมาย ยังไม่นับรวม ‘กรรเจียก’ ทรงกิ่งพุดซ้อนสีเงินแซมทองที่ปรากฏอยู่ในเอ็มวี เพลง LALISA ของ ลิซ่า และ ‘ดอกบัวสีทอง’ เครื่องประดับที่เธอถือในงานพรมแดงรอบพรีเมียร์ของซีรีส์ The White Lotus ซีซัน 3 ที่ลอสแอนเจลิส สหรัฐอเมริกา ล้วนเป็นเครื่องพิสูจน์ให้เห็นว่าเขาทำสำเร็จ!
นับเป็น “พลังคนไทย” ที่ Thaipower.co ต้องติดตามไปพูดคุยถึงแรงบันดาลใจและการดำเนินไปของแบรนด์ที่ขับเคลื่อนด้วย “ความเป็นไทย” พบว่ากว่าจะเป็นภาพที่สมบูรณ์แบบอย่างที่เห็น เขาผ่านการทดสอบนับครั้งไม่ถ้วน ต่อสู้กับใจตัวเองทุกวันและให้อภัยตัวเองบ่อยครั้ง เพื่อพาตัวเองไปถึงเป้าหมายเล็กๆ ในใจนั่นคือ “การทำให้ใครสักคนมีชีวิตอยู่อย่างมีความหมาย”
Miss World 2025 โอปอล สุชาตา กับเครื่องประดับ SARRAN (ต่างหู Ma-Li)
ภาพจาก FB: SARRAN
แรงบันดาลใจและคุณค่าที่เขากำหนด
“ความตั้งใจแรกคืออยากทำเครื่องประดับให้แม่ใส่ อยากเห็นแม่เขาใส่เครื่องประดับที่สร้างด้วยมือเรา เพราะผมเคยเห็นแม่ไม่มีเงินที่จะซื้อเครื่องประดับดีๆ
ความฝันของผมคือได้เห็นผู้หญิงทุกคนควรค่ากับความงามสง่า ภูมิใจกับความสวยของตัวเอง โดยเฉพาะคุณแม่ ผมต้องการทำให้เขารู้สึกเสมอว่ามีคนที่เห็นคุณค่าในตัวเขา ผมว่าวันนี้ท่านรับรู้แล้วเพราะสิ่งที่ผมทำให้มันเกินคำว่าเติมเต็ม ความหมายในการมีอยู่ของเขาคืออยู่เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้กับผม”
“ถ้าเราอยู่ในจุดที่สามารถแข่งขันได้ เราจะแข่งขัน
ถ้าไม่ใช่ ต่อให้เป็นสนามหรือโอกาสที่ดีแค่ไหนเราก็ไม่แข่ง”
โลกที่สร้าง…ร่างที่เป็น
อาจเพราะตัวเขาโตมากับแม่และยาย จึงคุ้นชินและซึมซับวิถีชีวิตแบบผู้หญิง คุ้นเคยกับความละเอียดอ่อน ก่อนนอนต้องสวดมนต์ เช้ามาต้องยายเก็บดอกไม้มาร้อยมาลัยถวายพระ ของเล่นคู่กายคือ สีไม้ กระดาษ ตัวต่อ และอุปกรณ์ร้อยมาลัย เย็บผ้า ไม่เว้นแม้แต่เครื่องครัว
“จำได้ว่าผมชอบระบายสีลงสมุด เวลาแม่กับยายมาเห็น เขาไม่ได้ชมว่าสวยหรือไม่สวย แต่จะบอกว่า ‘ขอดูอีก’ เราเป็นเด็กชอบการถูกยอมรับเลยอยากทำอีกเรื่อยๆ การที่เขาเปิดโอกาสให้เราสนุกในแบบของเรา เลยมองทุกอย่างเป็นการทดลองไปหมด เริ่มเอาเศษผ้ามาเล่น ระบายสีไม้บนเค้กเพราะอยากรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พอเข้าเรียนยิ่งชัดขึ้น เพราะได้คะแนนวิชาศิลปะสูงมากแต่คะแนนวิชาการไม่ดี”
เขามองมันว่าเป็นความโชคดีที่โตมาแบบไร้กรอบ และไม่เคยถูกครอบด้วยความเชื่อเดิมๆ ว่าจะต้องเรียนหมอ เรียนวิศวะ
“คุณแม่และคุณยายให้อิสระเราเต็มที่ ผมว่ามันคือความเชื่อมั่นในตัวเรา แม้ว่ายุคนั้นศิลปินจะมีภาพลักษณ์ที่ไม่ค่อยดีเท่าไร เลยถูกตั้งคำถามจากญาติๆ มากกว่าว่าถ้าเรียนอาชีวะจบมาจะทำอะไร”
เขาตัดสินใจเรียนศิลปะที่วิทยาลัยอาชีวศึกษาธนบุรี เพราะรู้ว่าถ้าเรียนสายสามัญเขาคือเด็กท้ายห้อง ถ้าอยากเป็นเด็กหน้าห้องโดยยังเป็นตัวเองต้องอยู่ในจุดที่แข่งขันได้ ด้วยเห็นเพียงแค่ภาพรางๆ ในหัวตัวเองซึ่งค่อยมาชัดเจนขึ้นเมื่อเขาได้รับทุนปริญญาตรี สาขาศิลปะจินตทัศน์ (Imagine Art) คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร ที่หล่อหลอมเขาด้วยศิลปะทุกแขนงที่สนใจลงเรียนเป็นวิชาโท ไม่ว่าจะเป็น การละคร เมกอัป เต้นลีลาศ และตระเวนล่ารางวัลแทบจะทุกเวที
ช่วงมหาวิทยาลัย เขา “ล่า” รางวัลหนักมาก ทุกปีต้องได้รางวัลการันตีอย่างต่ำ 10 รางวัล เคยคว้าแชมป์นักแกะสลักติด 1 ใน 5 ของประเทศไทยในรุ่นจูเนียร์ ระหว่างนั้นผมต้องหาเงินส่งตัวเองเรียนด้วย นอกจากเงินที่ได้จากเวทีประกวด งานที่ต้องวาดส่งลูกค้าก็จะส่งอาจารย์ก่อน พอตรวจเสร็จก็ขายเลย จบมาไม่มีผลงานสมัยเรียนเหลือสักชิ้น”
Suggestion
โลกแห่งการค้นหาตัวตน (อีกครั้ง)
“เราคือเป็ดที่ยังไม่รู้ว่าจบมาแล้วจะทำอะไรได้ต่อ” เพราะไปทุกศาสตร์ลองมาทุกแขนง แต่สุดท้ายเขาก็ตอบรับงานประจำในตำแหน่ง ‘นักออกแบบผลิตภัณฑ์’ ที่ Fai Sor Kam (ฝ้ายซอคำ) ขณะเดียวกันก็ได้รับเลือกให้เป็น ‘Young Talent Thai ของกรมส่งเสริมการส่งออกฯ
“ทำงานประจำควบคู่ไปกับเป็น ‘Young Talent Thai’ อยู่ 6 ปี ก็ตัดสินใจขอทุนจากมูลนิธิ The Japan Foundation ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญอีกครั้งของชีวิต”
เงื่อนไขของการให้ทุนศิลปินไปพำนักที่ญี่ปุ่น 4 เดือน คือ ต้องสร้างผลงานศิลปะใน 3 เมือง ได้แก่ ฟุกุโอกะ เกียวโต และโตเกียว ประตูบานนั้นทำให้เขาได้สำรวจลึกไปถึงการใช้ชีวิต การทำงาน ศิลปะ การดำเนินธุรกิจของชาวญี่ปุ่น รวมไปถึงการสำรวจลึกไปถึงความตัวตนที่แท้จริงของเขาเอง
“ทำไมคนญี่ปุ่นสามารถสร้างธุรกิจมูลค่าปีหนึ่งกว่ายี่สิบล้านด้วยคนไม่กี่คน ที่สำคัญเป็นงานทำมือด้วย นั่นคือจุดแรกที่ทำให้ผมเริ่มคิดว่า เราสามารถทำธุรกิจให้เล็กลงได้ ที่ผ่านมาเราทำงานเอาใจคณะกรรมการ ทำงานตามโจทย์บริษัทมาตลอด แต่ยังไม่เคยสร้างโจทย์เพื่อทำงานให้ตัวเอง”
“ผมเขียนสิ่งที่คิดและไอเดียทุกวัน ตอนนั้นงานศิลปะชิ้นสุดท้ายที่ทำที่ญี่ปุ่นคือใช้กระดาษ A4 มัดเป็นเม็ดข้าวร้อยกว่าเม็ด ทำเป็นรวงข้าวในอากาศ สะท้อนจิตวิญญาณของรวงข้าวในยุงฉางกลางนา ก็เอากระดาษพวกนี้แหละมาเขียนไอเดีย เพราะอยากเอาความทรงจำของเราสอดแทรกไปกับงานศิลปะ”
‘ดอกรัก’ ดอกแรกสู่ธุรกิจแรกในวัย 36
“กลับมาถึงไทยผมเอาแบบร่างมาลองขึ้นโครงสร้างกลายเป็น ‘ต่างหูดอกรัก’ ต่างหูทรงยาวห้อยดิ่งลงมาคล้ายอุบะมาลัยชายเดียวด้วยดอกรัก 7 ดอก ไล่เรียงไซซ์จากเล็กไปใหญ่ ได้แรงบันดาลใจจากดอกไม้ทัดปอยผมของผู้หญิงไทยสมัยก่อน ผมเอา Fabric Felt ไปอัดด้วยความร้อนแล้วนำมาพรินต์ดิจิทัลลงกระดาษ ก่อนนำมาต่อเป็นชิ้นๆ และใช้กระบวนการอบร่ำแบบสมัยก่อน เพื่อให้มีกลิ่นติดไปกับเครื่องประดับ”
“จำได้ว่าตอนนั้นมีงานประกวด DEmark Award แต่เขาบังคับว่าต้องเป็นงานที่เคยประกอบธุรกิจในเมืองไทยหรือมีการจำหน่ายแล้ว ช่วงนั้นผมยังทำงานบริษัทอยู่ก็เลยเอาไปออกบูทในงาน Talent Thai ที่ฝรั่งเศส แต่ไม่ได้วางขายตั้งใจแจกเป็นของที่ระลึก ปรากฎว่าจบงานออร์เดอร์จากลูกค้าที่เป็นเจ้าของแบรนด์ ห้างสรรพสินค้า และคิวเรเตอร์ของร้านเครื่องประดับในพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์”
ศรัณญนำ ‘ต่างหูดอกรัก’ มาต่อยอดดีไซน์ไป 12 แบบเพื่อส่งเข้าประกวด จนคว้ารางวัลชนะเลิศจากเวที VOGUE Who’s On Next ของนิตยสาร VOGUE THAILAND ชนะใจกรรมการทั้งดีไซน์และแผนธุรกิจ
“พอได้ที่หนึ่งมันเป็นการบังคับกลายๆ ให้เราเริ่มทำธุรกิจได้แล้ว” ศรัณญเล่าถึงการเปลี่ยนผ่านจากการทำงานศิลปะเข้าสู่การทำธุรกิจของตัวเอง
เรื่องเล่า ผู้หญิง และพลังของดอกไม้
“ผมอยากสื่อสารเรื่องผู้หญิง เล่าวิถีชีวิตของแม่และยาย…ผู้หญิงที่ผมรัก ดอกไม้คือส่วนหนึ่งในชีวิตของพวกเขา ผมจึงเลือกสื่อสารผ่าน ‘ดอกไม้’ ภายใต้เรื่องราวของดอกไม้จะมีเรื่องของผู้หญิงและการขับเคลื่อนของผู้หญิงซ่อนอยู่เสมอ”
ศรัณญมีแต้มต่อเรื่องดอกไม้ ไม่ใช่เพราะต้องเก็บดอกรักให้ยายทุกเช้า แต่เขาเติบโตมาในบ้านที่เหมือนกับสวนสมุนไพร “ยายปลูกสารพัด ผมจำกลิ่นดอกไม้ได้หมด รู้จักรูปทรงของดอกไม้ทุกแบบ เห็นเองก็ด้วย ศึกษาเพิ่มก็เยอะ ดอกไม้ไทยทุกประเภทมีเรื่องราว มีที่มาที่ไป หน้าที่เราคือเลือกว่าจะสื่อสารเรื่องอะไรที่ตอบสนองหรือฮีลใจผู้หญิงได้ หรือบางคอลเลกชันก็ใช้เรื่องเทศกาลมาเชื่อมโยงเพราะเข้าถึงง่ายและมีส่วนร่วมได้”
เขาบอกว่านอกจากเอกลักษณ์ของดอกไม้ยังหลอมรวมเข้ากับประสบการณ์ทุกช่วงวัยเขาเอง ไม่ว่าจะเป็น ประสบการณ์จากการเดินทาง การทำงานศิลปะหลากแขนง และการร่วมงานกับแบรนด์ระดับโลก
“ผมเป็นคนมืออุ่น พอถือดอกมะลินานๆ ก็ช้ำ ยายบอกช้ำก็ใช้ได้ แค่รู้จักไล่เฉดสี เพราะดอกที่ช้ำสีจะออกม่วงแก่ ก็ร้อยไล่ไปจนถึงม่วงอ่อน และคนสมัยก่อนไม่ได้ใช้ดอกรักไซซ์เดียวนะ แต่จะร้อยไล่จากเล็กไปใหญ่ ในทางศิลปะมันก็คือ Perspective สร้างมุมมองสายตาเวลาถือจะดูสง่างาม”
ผลงานของ ‘SARRAN’ ยังมีจุดเด่นเรื่อง ‘น้ำหนักเบา’ เพราะใช้ผ้าที่ดูดซับกลิ่นได้ดีเป็นวัสดุหลัก ประกอบร่างกับเคล็ดวิชาครูพักลักจำจากการอบผ้า อบกระดาษในหีบอบของคุณยาย จึงนำเครื่องประดับไปอบร่ำเพื่อให้เกิดกลิ่นหอม
“เป็นข้อได้เปรียบที่เคยอยู่ในโลกของงานศิลปะที่หลากหลาย เรื่องผ้าก็ได้มาจากการทำงานโพรดักต์ดีไซน์ ตอนนั้นต้องหาวัสดุเอาต์ดอร์ที่ทนน้ำ ทนอากาศ ทนกรดเกลือ ทนยูวี และสามารถเก็บและดูดซับกลิ่นได้ดี ทดลองอัดผ้าหลายชนิดและหลายวิธี จนได้ออกมาเป็น Fabric felt”
“หรือการออกแบบโครงสร้างจิวเวลรีก็เป็นประสบการณ์จากการออกแบบเฟอร์นิเจอร์ มันมีเรื่องของไซซ์และน้ำหนักที่ต้องบาลานซ์ให้ดี ฉะนั้นโครงสร้างผมจะไม่เหมือนเครื่องประดับทุกชนิด และด้วยความที่ จิวเวลรีของเราเป็นงานชิ้นใหม่ การทำโครงสร้างให้บาลานซ์จะช่วยให้ถ่ายเทน้ำหนักได้ดี ใส่สบาย ไม่ปวดคอ หูไม่เจ็บ”
เคล็ดวิชาสร้างแบรนด์ให้แกร่ง
จนแบรนด์ระดับโลกต้องบินมาหา
• เป้าหมายต้องชัด รู้ว่าตัวเองเป็นใคร ทำเพื่อใคร
ไม่ไหลไปตามกระแส ไม่เปลี่ยนแปลงเพื่อเม็ดเงิน
• ขยับมาตรฐานตัวเองให้สูงขึ้นเรื่อยๆ
• มองหาตำหนิในงานของตัวเองให้เจอ
นั่นหมายความว่าคุณไม่ได้ยึดติดกับความสำเร็จเดิมๆ
• การยอมรับความผิดพลาดและต้องให้อภัยตัวเอง
อย่ายอมให้ความผิดพลาดเป็นความเจ็บปวด
แบรนด์ไทยก็โกอินเตอร์ได้ถ้า ‘ลงมือทำ’
ศรัณญยืนยันว่าพาแบรนด์โกอินเตอร์ไม่ยาก เพราะมีเวทีมากมายที่รอให้คุณไปแสดงศักยภาพ “ลองถามตัวเองที่ไปไม่ถึงเพราะกลัวล้มเหลวหรือเปล่า”
เขาเองก็ล้มเหลวไม่น้อย “ช่วง 3 ปีสุดของการประกวด ผมประกวดมากกว่า 50 เวที แต่ได้รางวัลแค่ 10 เวที ไม่เข้ารอบก็เยอะ เพราะอย่าลืมว่าเราไม่มีทางที่จะตรงจริตกับทุกคน เคยจัดโรดโชว์ในงานประกวดแล้วเคยไม่มีใครมาที่บูทเลย มีโอกาสเจอคิวเรเตอร์ของ MAD Museum เพราะเดินถือพอร์ตเข้าไปคุย แต่ได้แลกนามบัตรกันแล้วก็เงียบหาย จนผ่านไปหนึ่งปีจึงได้โอกาสเข้าร่วมแสดงงาน ‘MAD About Jewelry’ ที่นั่น “ปรากฎว่าผมได้เป็นดีไซเนอร์ไทยคนแรกได้รางวัลและได้รับคัดเลือกชิ้นงานให้จัดแสดงถาวรที่ MAD Museum”
![]() |
“ช่วงที่ยังมีพลังชีวิต ผมพยายามโยนตัวเอง |
เพราะเขาเลือกที่จะตามหาโอกาสด้วยตัวเอง วันนี้ ‘SARRAN’ จึงได้ร่วมงานกับแบรนด์ระดับโลกและคนดังมากมาย ไม่ว่าจะเป็นคอลเลกชันพิเศษที่ทำร่วมกับ Diane von Furstenberg (DVF) แบรนด์แฟชั่นลักเชอรีจากอเมริกา ได้รับเลือกให้รังสรรค์ผลงานหัตถศิลป์ชิ้นพิเศษอย่าง “Trove of Blue” ในโอกาสฉลองครบรอบ 100 ปี ของแบรนด์จอห์นนี่ วอล์กเกอร์ ประเทศไทย ที่มีเพียง10 ชิ้นบนโลก
นอกจากลิซ่าที่เล่าไปตอนต้น บียอนเซ่และรีฮานน่าก็เคยซื้อไพรเวทคอลเลกชัน รวมถึง อลิเชีย คีย์ส ที่เลือกใส่จิวเวลรีของเขาในงานยิ่งใหญ่ที่กรุงเทพฯ
รวมไปถึงการทำงานร่วมกับศิลปินไทยเจ้าของแบรนด์ Mesh Museum โดยที่เขาได้ออกแบบชิ้นจากดอกมะลิ 2,000 ดอกที่มีรูปทรงและโทนสีต่างกันจัดเรียงด้วยเทคนิคงานฝีมือ ถ่ายทอดความงดงามและพลังของผู้หญิงไทย นำไปตกแต่งช่วงไหล่ให้กับชุดเดรสผ้าไหมไทยปักลูกปัดแก้วที่ใส่โดยลิซ่าเช่นกัน
“ปีที่แล้วผมมีโอกาสได้ทำงานแฟชั่นโชว์ร่วมกับทีมดีไซเนอร์ของ Chuni Dorji Privé แบรนด์เสื้อผ้าแนวลักเชอรีของภูฏาน ในฐานะตัวแทนประเทศไทย จึงเอาความเป็นไทยแทรกเข้าไปด้วย โดยหยิบเอาดอกบลูป๊อปปี้ (Blue Poppy) ดอกไม้ประจำชาติภูฏานมาผสานกับดอกมะลิซึ่งเป็นตัวแทนของหญิงไทย และใช้เรื่องราวของมังกรที่เชื่อว่าเป็นผู้ภูฏานมาผูกโยงกลายเป็นคอลเลกชัน ‘มังกรสีทอง’” Dragon in the Sky
“ทุกเป้าหมายมีเส้นทางของมันอยู่
อยู่ที่ว่าคุณจะทำหรือไม่ทำ”
ล่าสุด ‘SARRAN’ นำความงดงามอย่างไทยออกสู่สายตาชาวโลกอีกครั้งผ่านคอลเลกชัน ‘อรุณ’ จิวเวลรีจากผ้าไหมไทยที่ทำงานร่วมกับ Jim Thompson
ภาพจาก FB: SARRAN
“ถือว่าเป็นงานที่สำคัญสำหรับผมปีนี้เลยก็ว่าได้ เพราะเป็นการเปิดประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของ จิม ทอมป์สัน กับการเข้าสู่โลกเครื่องประดับเป็นครั้งแรก แรงบันดาลใจของคอลเลกชันนี้มาจากเมื่อ 10 ปีก่อน ผมเคยทำคอลเลกชัน ‘อรุณ’ แต่เป็นการพูดถึงวัดอรุณตอนกลางคืน ครั้งนี้อยากลองเอาวิชาเดิมมาปัดฝุ่นใหม่ นำเอาผ้าไหมของ จิม ทอมป์สัน เล่าเรื่องดอกไม้จากงานกระเบื้องสีที่ประดับพระปรางค์วัดอรุณฯ ซึ่งเมื่อแสงตกกระทบ จะมอบความงามที่แตกต่างกันในแต่ละช่วงเวลาของวัน กลายเป็น 3 เฉดสี ซึ่งเชื่อมโยงไปกับสีสันแบรนด์จิม ทอมป์สัน อย่างสีส้ม เหลือง และน้ำเงิน”
รู้มาว่า เบื้องหลังคอลเลกชันนี้ ศรัณญยังได้ร่วมงานกับช่างฝีมือท้องถิ่น นำวิธีการปัก เดินด้ายไหม และจับจีบผ้าแบบดั้งเดิมมาใช้รังสรรค์ชิ้นงาน รวมถึงการวาดลวดลายผ้าด้วยมือและประดับด้วยอัญมณี
“ทุกวันนี้ ความสุขของผู้คนที่สวมใส่
คือรางวัลชีวิตที่สำคัญกว่าถ้วยรางวัล”
เติมพลังใจให้ตัวเองไปต่อ
เชื่อหรือยังว่าไม่ง่ายและไม่มีความสำเร็จไหนของเขาที่ได้มาด้วยโชว์ ทุกอย่างเกิดจากการลงมือทำสุด ไปสุด เขาบอกว่า เมื่อไหร่ที่รู้สึกท้อ วิธีฮีลใจง่ายๆ คือ “กินไอติม อยู่คนเดียว วันรุ่งขึ้นทำงานต่อ เพราะผมรู้สึกว่าเราเศร้าได้ไม่นาน ตอนประกวดถ้าพลาดจะถามตัวเองก่อนว่าเราผิดพลาดตรงไหน แล้วประเมินว่าเราแก้ไขได้ไหม ถ้าความผิดพลาดเกิดจากเราก็แก้ไข ถ้าไม่ใช่ก็ปล่อยวาง การทำงานก็เช่นกัน พลาดเมื่อไหร่ มองตัวเองก่อน เมื่อไหร่ที่ผมเชื่อหมดใจว่ามันเป็นไปได้ไม่เวทีไหนหรืองานอะไร ผมจะทำให้ถึงที่สุด”
รู้จักศรัณญให้มากขึ้น
สิ่งที่ชอบฟังเวลาทำงาน:
พอดแคสธุรกิจ ประวัติศาสตร์ เรื่องเร้นลับ
สไตล์เพลงที่ชอบ:
เพลงตามสมัยนิยม เพลงโอเปร่า เพลงจากหนังและภาพยนตร์ โดยเฉพาะแอนิเมชัน จากจิบลิ
ศิลปินคนโปรด:
แวนโก๊ะ และ ลีโอนาโด ดาวินชี
สถานที่จัดงานแสดงในฝัน:
พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ “อยากให้งานของเราเป็นตัวแทนยุคสมัยของประวัติศาสตร์ไทย”
สามารถติดตามผลงานของ SARRAN ได้ทาง
https://sarranofficial.com/ และ FACEBOOK: SARRAN