People

วรวิทย์ “ปัญญ์ปุริ”
บทพิสูจน์พลังไทยที่ยิ่งใหญ่บนเวทีโลก

อลิษา รุจิวิพัฒน์ 9 Feb 2024
Views: 768

Summary

กว่าจะเป็น ‘ปัญญ์ปุริ’ ที่เทียบชั้นแบรนด์ระดับโลกได้อย่างสมศักดิ์ศรีตลอด 2 ทศวรรษ เคยถูกปฏิเสธ เพราะถูกมองว่าจะสู้แบรนด์ต่างชาติได้หรือ แต่ความมุ่งมั่นและเชื่อมั่นว่า ‘รากเหง้าความเป็นไทย’ มีดี วันนี้ ปัญญ์ปุริ พิสูจน์ให้เห็นว่า แบรนด์ไทยที่มีรากฐานมาจากความเป็นไทยก็ยืนอยู่บนเวทีโลกได้

เหตุผลสำคัญที่ทำให้ ‘ปัญญ์ปุริ’ ยืนเทียบชั้นแบรนด์ระดับโลกได้อย่างสมศักดิ์ศรีตลอด 2 ทศวรรษ เป็นไปได้ด้วยการปักธงที่จะเป็น Luxury Global Brand ตั้งแต่วันแรกที่เริ่มต้นธุรกิจ โดย  คุณวรวิทย์ ศิริพากย์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ปุริ จำกัด และผู้ก่อตั้งแบรนด์ปัญญ์ปุริ

ถึงแม้ความตั้งใจและความเชื่อมั่นจะมีเกินร้อย แต่ไม่ง่ายเลยที่จะปั้นแบรนด์ไทยในยุคที่คนไทย แบรนด์ไทย และคำว่า Health & Wellness ยังไม่เป็นที่รู้จัก

“ต้องยอมรับว่าช่วงปี 2003 ที่เริ่มทำแบรนด์เป็นยุคที่คนไทยไม่ใช้ของไทย โดยเฉพาะแบรนด์บิวตี้ บางที่ที่เราอยากจะเอาสินค้าไปวางจำหน่ายก็โดนปฏิเสธ เขาบอกว่าแบรนด์ไทยขายไม่ได้ คนไทยไม่ซื้อ ต่างชาติก็ยังไม่เชื่อมั่น”

“คนที่จะทำธุรกิจส่วนตัวต้องเริ่มจากสิ่งที่ตัวเองชอบ

Soft Power ไม่ได้เกิดขึ้นจากการพยายามยัดเยียดให้คนชอบ

แต่ต้องเกิดจากความประทับใจที่ได้สัมผัสผ่านประสบการณ์จริง”

วรวิทย์ ศิริพากย์ ผู้ก่อตั้งแบรนด์ปัญญ์ปุริ

 

การถูกปฏิเสธกลายเป็นแรงผลักดันให้เขาหันกลับมาหาวิธีทลายข้อจำกัดด้วยจุดแข็งของผลิตภัณฑ์ “แทนที่จะโทษคนอื่นว่าทำไมไม่ให้โอกาส ผมกลับมองว่า หรือเป็นเพราะในตอนนั้นยังไม่มีใครพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ ได้มาตรฐาน และตอบโจทย์คนไทย คำปฏิเสธเหล่านั้นจึงกลายเป็นแรงผลักดันให้ผมอยากจะเอาชนะข้อจำกัด จะต้องทำให้ดีกว่าความคาดหวังของผู้บริโภค และไม่ได้มองแค่ชนะใจคนไทยแต่ต้องทำให้ต่างชาติยอมรับ”

 

5 “เคล็ดลับ” ขับเคลื่อนแบรนด์ไทยไปเวทีโลก

1.ต้องเข้าใจความต้องการของตลาดโลกด้วย

และต้องไม่ลืมรากฐานและตัวตนของเรา

2.ยิ่งเตรียมพร้อมมากเท่าไร วางเป้าหมายที่ชัดเจน

ก็ยิ่งเข้าใกล้ความสำเร็จ

3.วางแนวทางการทำงานด้วยมาตรฐานระดับโลก

เอาความเข้าใจระดับโลกมาฝังอยู่ในการสร้างแบรนด์

4.ต้องทำให้ดีกว่าความคาดหวังของผู้บริโภค

5.อย่าตั้งเป้าหมายแค่ชนะใจคนไทย

แต่ต้องทำให้ต่างชาติยอมรับ

เมื่อธงถูกปักไว้บนเวทีโลก ทำให้แนวคิดในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ การออกแบบแพ็กเกจจิง ไปจนถึงการสร้าง Branding ต้องถูกยกระดับให้มีมาตรฐานเทียบเท่าแบรนด์ระดับโลก

“Luxury goods แบบปัญญ์ปุริมาจากสามข้อคือ หนึ่ง คุณภาพต้องดีที่สุด เราเน้นเรื่องคุณภาพของวัตถุดิบของผลิตภัณฑ์อย่างมาก ต้องหายากและมีคุณค่า อย่าง มะลิ ดอกไม้ประจำแบรนด์และเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นไทย ก็เลือกมะลิออร์แกนิกสายพันธุ์ Jasmine Sambac ซึ่งปลูกในไร่ออร์แกนิกที่จังหวัดตาก

“เรื่องต่อมาคือแพ็กเกจจิง การออกแบบต่างๆ มีส่วนสำคัญมากเพราะสินค้าลักซ์ชัวรี่บางครั้งคนซื้อจากความ Emotional ทั้งรูปลักษณ์ กลิ่น สัมผัส มีผลต่อการตัดสินใจซื้อ ทุกผลิตภัณฑ์ของเราจึงไม่ได้ทำหน้าที่แค่เป็น Functional Product อย่างผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม Candle หรือ Diffuser ในขวดแก้วดีไซน์เรียบหรูก็ช่วยเพิ่มเสน่ห์ให้บ้านได้ หรือผลิตภัณฑ์บิวตี้เวลาวางอยู่ในห้องน้ำหรือโต๊ะเครื่องแป้ง ดีไซน์ที่สวยแค่มองก็รู้สึกผ่อนคลาย”

“เรื่องสุดท้ายคือ แบรนด์ดิ้ง สินค้าลักซ์ชัวรี่ต้องมี Story Telling มีที่มาที่ไป มีเรื่องราว บอกแรงบันดาลใจ ก็เอาเรื่องพวกนี้มาประกอบกันจนกลายเป็น Luxury goods ในแบบของปัญญ์ปุริ” ไม่น่าแปลกใจเลยที่    แบรนด์ได้รับความนิยมมาอย่างยาวนานจนก้าวสู่ปีที่ 20

 

ตั้งเป้าหมายให้ชัดเจนคือจุดเริ่มต้นที่สำคัญ

สร้างโอกาสเพื่อเปิดรับโอกาส

จนถึงวันนี้ ปัญญ์ปุริ เป็นแบรนด์ไทยที่ก้าวกระโดดขึ้นมาเทียบชั้นแบรนด์ชั้นนำระดับโลกอย่างสง่างาม พิสูจน์ให้คนไทยและต่างชาติเห็นว่า แบรนด์ไทยที่มีรากฐานมาจากความเป็นไทยผ่านการคิดและพัฒนาให้มีความเป็นสากล ก็ยืนอยู่บนเวทีโลกได้

คุณวรวิทย์บอกว่า ตลอด 20 ปีของการทำธุรกิจล้วนเต็มไปด้วยเรื่องท้าทาย แต่ทุกครั้งที่ก้าวข้ามอุปสรรคยิ่งยิ่งตอกย้ำให้รู้ว่าแบรนด์เดินมาถูกทาง

“ยากที่สุดในช่วงเริ่มต้น คือการหา Distribution หรือสถานที่ที่จะเปิดร้านเพื่อทำให้แบรนด์มีตัวตน มีคนรู้จัก ยุคนั้นห้างสรรพสินค้ายังไม่เยอะ พื้นที่ส่วนใหญ่ถูกจับจองให้แบรนด์ต่างชาติ แบรนด์ไทยแทบไม่มีโอกาสเข้าไปอยู่ในพื้นที่นั้น จนวันที่เราได้โอกาสจาก คิง เพาเวอร์ ซึ่งเป็นผู้ประกอบการยักษ์ใหญ่รายต้นๆ ที่ให้โอกาสเราเข้าไปมีพื้นที่วางจำหน่ายสินค้าที่สนามบินดอนเมืองเมื่อปี 2005 ถือเป็นก้าวสำคัญที่ทำให้ให้ปัญญ์ ปุริได้ไปอยู่ในที่ที่คนต่างชาติเห็น เหมือนเราได้สปอตไลต์ ทำให้เราได้พิสูจน์ตัวเองและเป็นส่วนผลักดันให้     แบรนด์ไทยขึ้นมาอยู่ในระดับสากล”

เขายังบอกด้วยว่า โอกาสดีๆ แบบนี้สามารถเกิดขึ้นได้กับผู้ประกอบการในทุกอุตสาหกรรม หากทุกภาคส่วนช่วยสนับสนุน จะทำให้แบรนด์ไทยไปโลดแล่นบนเวทีไหนในโลกก็ได้

“การจะพาแบรนด์ไประดับโลก ต้องเข้าใจความต้องการของตลาดโลกด้วย และต้องไม่ลืมรากฐานและตัวตนของเรา เหนือสิ่งอื่นใดทุกภาคส่วนต้องช่วยกันผลักดัน เพราะต่อให้สร้างแบรนด์ดีแค่ไหนแต่ไม่ได้รับความเชื่อใจ ไม่ได้รับโอกกาสจากห้างร้านหรือสถานที่มันยากที่จะมีคนเห็นหรืออาจต้องใช้เวลานานกว่าจะสำเร็จ ดูอย่างประเทศเกาหลีที่เขาสามารถผลักดัน Soft Power ได้เพราะทุกภาคส่วนร่วมพลังกัน ช่วยกัน”

 

คุณภาพคือสิ่งที่ต้องคำนึงถึงเป็นอันดับแรก

 

ผมว่า Soft Power ไม่ได้เกิดขึ้นจากการพยายามยัดเยียดให้คนชอบ แต่ต้องเกิดจากความรู้สึกประทับใจที่ได้สัมผัสผ่านประสบการณ์จริง ผมเชื่อเสมอว่าประเทศไทยมีดี มีสินค้า และบริการทางวัฒนธรรมที่สามารถส่งออกและเป็นที่ชื่นชอบของต่างประเทศได้ แค่ต้องตีความและพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์และบริการอย่างเป็นระบบ เพิ่มมูลค่าจนกลายเป็นที่สังเกตและเป็นที่ชื่นชอบโดยที่ไม่ต้องไปยัดเยียด”

 

เชื่อว่าเป็นไปได้…ก็เป็นไปได้

เมื่อถามว่าอะไรคือสิ่งที่หล่อเลี้ยงความเชื่อและความฝันตลอด 20 ปีของการทำธุรกิจ คุณวรวิทย์ตอบว่า “แพสชันและทำต่อเนื่อง” ทุกบทสัมภาษณ์เขาบอกเสมอว่า ‘กลิ่นหอม’ คือเรื่องของแพสชัน ส่วนเรื่องการทำธุรกิจนั้นก็เป็นศาสตร์ที่เขาหลงใหล ถึงขั้นบินไปเรียนปริญญาโทที่อิตาลี ด้าน Luxury Goods Management

“ตอนทำงานเป็น Management Consultant ที่นิวยอร์ก ค่อนข้างเครียดและกดดันมาก สิ่งที่ปลอบประโลมใจสำหรับผม คือการเดินเข้า Sephora หลังเลิกงานเพื่อซื้อสินค้าอะไรก็ได้ที่มันหอมๆ รู้มาตลอดว่าตัวเองมีแพสชันกับเรื่องกลิ่นหอม จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์ 9/11 ซึ่งเหมือนไปสะกิดเตือนให้เราอยากทำอะไรที่ตอบโจทย์ชีวิตเลยโดยไม่ต้องรอ เลยตัดสินใจบินไปเรียนที่อิตาลี”

“ไม่มีอะไรที่เกิดจากความบังเอิญ ถ้าคุณเป็นนักกีฬาที่อยากไปแข่งโอลิมปิกก็ต้องฝึกซ้อมแบบนักกีฬาโอลิมปิก” เขาไม่อยากใช้คำว่ากุญแจความสำเร็จ แต่ก็ยืนยันว่า ‘แพสชัน’ คือสารตั้งต้นที่เปลี่ยนทุกความเป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้

 

รู้จักทั้งตัวตนของเราแล้ว

ยังต้องเข้าใจความต้องการของตลาดโลกด้วย

“คนที่จะทำธุรกิจส่วนตัวต้องเริ่มจากสิ่งที่ตัวเองชอบ ผมเป็นคนอินโทรเวิร์ตนิดๆ ไม่ชอบอยู่กับคนหมู่มาก ดังนั้นถ้าทำสินค้า Mass ต้องเจ๊งแน่ๆ เพราะไม่เข้าใจว่าจะทำให้คนเหล่านั้นมาซื้อได้อย่างไร แต่ผมกลับมีความสุขเวลาอยู่กับคนกลุ่มเล็กๆ ชอบลงลึกในความสัมพันธ์ การทำสินค้าลักซ์ชัวรี่น่าจะเข้าทางมากกว่า เพราะได้ลงลึกเฉพาะกลุ่มลูกค้าเป้าหมายจริงๆ

“แค่แพสชันมันไม่พอ ต้องเชื่อด้วยว่าเราทำได้ เมื่อเชื่อแล้วต้องฝึกฝนตัวเอง ไม่มีอะไรที่เกิดจากความบังเอิญ ถ้าคุณเป็นนักกีฬาที่อยากไปแข่งโอลิมปิกก็ต้องฝึกซ้อมแบบนักกีฬาโอลิมปิก ผมว่านี่เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ปัญญ์ปุริก้าวสู่ระดับสากลได้ เพราะเราเตรียมความพร้อมด้วยแนวทางการสร้างแบรนด์ระดับโลก วางแนว ทางการทำงานด้วยมาตรฐานระดับโลก เอาความเข้าใจระดับโลกมาฝังอยู่ในการสร้างแบรนด์ เพราะอยากสร้างแบรนด์ไทยให้สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้”

 

การเดินทางในปีที่ 21 ของปัญญ์ปุริ  

“ในปีที่ 21 แบรนด์จะเติบโตขึ้นอีกแน่นอน คงสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ให้กับผลิตภัณฑ์ อย่างปีที่แล้วเราเพิ่งเปิดตัว Perfume Oil น้ำหอมรูปแบบออยล์ก็ประสบความสำเร็จมาก ปีนี้คงต่อยอดไลน์ผลิตภัณฑ์นี้ต่อ และที่ทำมาตลอด 2 ปีคือ ปรับภาพลักษณ์รีเทลเพื่อดึงลูกค้ากลับมาสัมผัสประสบการณ์ที่ร้าน สุดท้ายคงเป็นเรื่องขยายตลาดไปต่างประเทศ ปีนี้วางแผนจะเปิด Flagship Store ในฮ่องกงเป็นที่แรก จากที่ผ่านมาเราไปตลาดต่างประเทศผ่าน Contributor ต่อจากนี้ไปเราจะสร้างพื้นที่ของตัวเอง

หลังจาก Flagship Store ที่ฮ่องกง เราวางแผนขยายไปประเทศอื่นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และที่จีนด้วย”

 

“เชื่อ” ว่าทำได้แล้ว ต้องลงมือทำด้วย

ยิ่งเตรียมตัว ยิ่งเข้าใกล้ความสำเร็จ

ในฐานะแบรนด์ไทยที่เปลี่ยนแรงบันดาลใจของตัวเองให้กลายเป็นจริงได้ เราชวนเขาฝากถึงคนรุ่นใหม่และคนที่กำลังหลงทางอยู่ในวังวนของความฝัน “อย่าฝันอย่างเดียว ต้องทำให้เป็นจริงด้วย ผมเชื่อเรื่องการเตรียมตัวและการทำงานหนัก ยิ่งเราเตรียมพร้อมมากเท่าไร วางเป้าหมายที่ชัดเจนก็ยิ่งเข้าใกล้ความสำเร็จ

จริงๆ คนยุคนี้ได้เปรียบเพราะมีโอกาสเยอะ เครื่องมือก็มีหลากหลาย ต้นแบบดีๆ ก็มีให้เห็น และยังมีอิสระในการสร้างสรรค์มากมาย แต่ภายใต้ความหลากหลายนั้นก็อาจทำให้หลุดโฟกัสได้ หลายคนไม่สำเร็จเพราะขาดความอดทน ดังนั้นถ้าใครสามารถบาลานซ์ข้อได้เปรียบเหล่านี้ ใช้ช่องทางความหลากหลายที่มีให้เป็นประโยชน์ และหาโฟกัสตัวเองให้เจอ มีความอดทน ก็น่าจะประสบความสำเร็จได้ไม่มากก็น้อย”

“การทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ต้องใช้พลังใจสูงมาก ขอแค่เชื่อมั่นว่าทำได้ เชื่อในพลังของตัวเอง     หมดพลังก็เติมใหม่ ไม่ว่าปลายทางจะไกลแค่ไหนสักวันมันจะไปถึง” คุณวรวิทย์ กล่าวทิ้งท้าย

ขอบคุณภาพจาก Pañpuri

Author

อลิษา รุจิวิพัฒน์

Author

มนุษย์ที่ชอบทำงานตามโจทย์แต่ชอบใช้ชีวิตตามใจ หวั่นไหวกับของเล่น การ์ตูน ร้านหนังสือ ดิสนีย์แลนด์ และฝันว่าสักวันจะได้ไปเยือนสวนสนุกทั่วโลก

Author

วรัญชัย ประกอบวรรณกิจ

Photographer

ช่างภาพที่ชอบกิน ชอบเที่ยว และรักครอบครัว จนเพื่อนๆ เรียกว่า #พ่อบ้านแสนรู้