Passion

บีน นภสร
ศิลปินผู้เปล่งประกายจากพลังแห่งความฝัน

กฤษณา คชธรรมรัตน์ 22 Nov 2022
Views: 772

ระยะหลังมีโอกาสได้ชมพลังเสียงของ บีน – นภสร  ชัยพรเรืองเดช นักร้องสาวเสียงใส ผู้ตกแฟนคลับด้วยเพลง “ช้าโดนใจ” บนเวที THE POWER BAND 2022 SEASON 2 จัดโดย  วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล ร่วมกับ คิง เพาเวอร์ ไทย เพาเวอร์ พลังคนไทย อยู่บ่อยครั้งตั้งแต่รอบคัดเลือกจนถึงรอบชิงชนะเลิศ 

เราพบว่าทุกเวทีที่ขึ้นแสดง บีนมาพร้อมพลังแห่งความสุข ฉายชัดผ่านทั้งรอยยิ้มและเสียงเพลง ไม่น่าแปลกใจถ้าจะพบว่าจำนวนคนรักบีนจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในทุกเวทีที่เธอปรากฎ

 “สมัยก่อนบีนแค่ชอบร้องเพลงเฉยๆ แล้วก็ไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งการเป็นศิลปิน
เสียงร้องของเรามันสามารถสร้างความสนุกและความสุขให้กับคนที่ฟังอยู่ได้”

บีน – นภสร  ชัยพรเรืองเดช ศิลปิน

 

ถ้าจะหาตัวอย่างศิลปินที่ กล้าฝัน กล้าทำ แบบ “Dream It, Do It!” ตามแนวคิดของ THE POWER BAND บีนนี่แหละคือหนึ่งในผู้ที่ฝันไกลและไปถึงอย่างแท้จริง เพราะเส้นทางสายศิลปินของบีน ก็เริ่มที่เวทีประกวดเหมือนกัน เราจำภาพแรกของเธอได้จาก The Voice รายการเรียลิตีที่ค้นหาเสียงจริงตัวจริง ในวันนั้นเสียงบีนสะกดใจทั้งกรรมการและผู้ชมทั่วประเทศ ก่อนที่จะอดดีใจกับบีนไปด้วยไม่ได้ เมื่อได้เห็นผู้เข้าแข่งขันที่ตามหาฝันในวันนั้น ได้เปิดตัวในฐานะศิลปินเดี่ยวของค่ายบ็อกซ์ มิวสิค (Boxx Music) ในเครือมิวสิกมูฟ (Muzik Move)

 

TP: จากนักร้องผู้เริ่มเดินทางตามความฝันจนมาเป็นศิลปินเดี่ยวที่เป็นเจ้าของเพลงฮิตตั้งหลายเพลง แอบรู้สึกไหมว่า เราคือต้นแบบของ Dream It, Do It!

BEAN: มันก็สำเร็จเป็นข้อๆ นะคะ เพราะเวลาบีนทำอะไร บีนชอบตั้งโกลให้ตัวเองเป็นข้อๆ ไป เช่น ย้อนกลับไปวันที่เรายังเป็นนักร้องสายประกวด เราก็ตั้งเป้าว่าอยากออกรายการนี้แล้วก็ลงมือทำ แล้วพอเราไม่ผ่าน…ก็ไม่เป็นไร เราก็ทำ YouTube ออกมา…ทำคัฟเวอร์เพลง จนวันนี้เราเป็นศิลปินที่ชื่อ “บีน นภสร” เราก็จะมีโกลของเราต่อไป นั่นคือทำอัลบั้ม…ทำคอนเสิร์ต มันก็จะแบบเป็นแบบขั้นๆ ไป ก็รู้สึกว่าเราสำเร็จขึ้นเรื่อยๆ เหมือนมันมีข้อให้เราเช็ก อันนี้เช็กผ่าน อันนี้ติ๊กถูก แต่ถ้าถามว่าทั้งหมดสำเร็จหรือยัง ก็คือยัง เพราะพอเราทำสำเร็จแล้ว ก็ยังจะมีโกลต่อๆ ไป ให้เราได้ทำให้สำเร็จต่อไปอีกเรื่อยๆ

 

TP: การที่ได้เจอกับน้องๆ ผู้เข้าประกวดที่กำลังเดินบนเส้นทางที่คล้ายกัน บีนรู้สึกยังไงบ้าง

BEAN: น้องๆ เก่งมาก ยิ่งเราได้ไปทั่วประเทศยิ่งได้สัมผัสใกล้ชิด ยิ่งได้รู้ว่าประเทศไทยมี “ของดี” เยอะมาก…คนดนตรีของเราเยอะมากนะคะ ได้เห็นน้องๆ รุ่นใหม่ที่เก่งมากๆ รู้สึกว่าดีใจที่น้องๆ ได้ออกมาทำตามความฝัน ได้มาพูดคุยกันด้วยภาษาดนตรี มันจอยมากๆ เลยค่ะ

น้องๆ ยังส่งพลังกลับมาให้เราด้วย เมื่อมาเป็นศิลปินเต็มตัวมันมีเรื่องมากกว่าดนตรีที่เราต้องคิด เช่น ภาพลักษณ์ สไตล์ ไดเรกชันต่างๆ ที่ทำให้เราคิดมากขึ้นกว่าเพียงแค่เรื่องดนตรี เลยทำให้เราเครียดบ้าง พอได้มาเห็นน้องๆ ทุกคนที่โฟกัสเรื่องดนตรีอย่างเดียว ทำให้เรานึกย้อนกลับไปถึงว่าตอนนั้นน่ะ เราก็โตมากับดนตรีอย่างเดียวนี่นา และเราก็สนุกกับมันมาก เห็นน้องๆ ผู้เข้าประกวดช่วยกระตุกต่อมของบีนมาก ว่าเฮ้ยนี่ฉันรักดนตรีนี่นา กลับมาก่อน เรื่องที่เครียดอยู่เราก็คลายเครียดจากการไปทัวร์ คือทำให้เราเลิกคิดเรื่องกังวลไปสักพักหนึ่ง และจอยกับดนตรีอยู่ข้างหน้าเรามากขึ้น

TP: มาย้อนอดีตไปด้วยกันหน่อย ว่าจุดนับหนึ่งของบีนคือตรงไหน

BEAN: ก่อนที่จะไปประกวดรายการ The Voice (Thailand) กับ The Winner Is บีนเป็นสายล่าเวทีมาก แต่ที่จุดประกายความอยากเป็นศิลปินเลย คือครั้งที่ประกวดของรายการคอนเน็ตโต้ เพราะคนที่เข้ารอบ 3 วง จะได้แสดงคอนเสิร์ตกับวง Armchair และศิลปินอื่นๆ แล้วบีนก็เข้ารอบ และครั้งนั้นได้เล่นกับ Armchair ที่สกาลา เป็นเวทีใหญ่มากสำหรับบีนในตอนนั้น คนดูมาดูศิลปินจริงๆ แล้วเราเป็นส่วนหนึ่งในโชว์นั้น ซึ่งบีนได้ร้องคู่กับ พี่โย่งเลย มีช่วงหนึ่งที่บีนมองไปข้างหน้าแล้วคนกรี๊ด เห็นทุกคนมีความสุขมากๆ แล้วปล่อยพลังออกมา บีนก็รู้สึกว่าการเป็นศิลปินมันดีขนาดนี้เลย การได้เห็นภาพบนเวทีตอนนั้นรู้สึกว่ามันตราตรึงมากเลย แล้วเราก็อยากเป็นแบบนี้ สักวันหนึ่งเราจะทำแบบนี้ให้ได้ นั่นเป็นสิ่งที่จุดประกายมากๆ

 

TP: อะไรคือสิ่งที่บีนค้นพบเมื่อเป็นศิลปินมืออาชีพคะ

BEAN: สมัยก่อนบีนแค่ชอบร้องเพลงเฉยๆ แล้วก็ไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งการเป็นศิลปิน เสียงร้องของเรามันสามารถสร้างความสนุกและความสุขให้กับคนที่ฟังอยู่ได้ ไม่ว่าจะเป็นตอนที่เขาฟังจาก YouTube หรือจากสตรีมมิงต่างๆ ยิ่งตอนที่เขามาดูการแสดงสด พลังงานที่เขาได้รับมันมากกว่า พอเราเห็นเขามีความสุข เราเห็นเขาร้องเพลงตามไปด้วย ได้ปล่อยพลังงานออกมาใส่กัน เหมือนเสียงเราก็ทำให้เขาได้รับพลังและได้ปลดปล่อยพลังบางอย่างออกมา ซึ่งบีนว่ามันเป็นสิ่งมหัศจรรย์มากสำหรับการเป็นนักร้องนักดนตรีหรือการเป็นศิลปิน คือการได้ปล่อยพลังให้กัน

 

TP: หลายคนบอกว่าการเป็นศิลปินในยุคนี้ไม่ง่าย เพราะวงการมีนักร้องน้องใหม่เปิดตัวขึ้นมาทุกวัน

BEAN: ยุคนี้มีสื่อโซเชียลมีเดียเยอะ มีศิลปินอยู่เยอะมาก คนเก่งๆ ก็มีเยอะมาก ครั้งหนึ่งบีนก็รู้สึกว่าเราไม่เป็นตัวเอง เหมือนบีนสูญเสียอะไรบางอย่าง มันเลี่ยงไม่ได้ที่มนุษย์จะชอบเปรียบเทียบ ในใจเราก็เปรียบเทียบไปแล้ว บางทีเราดาวน์เอง รู้สึกเหมือนเราไม่เก่งเลย แต่มีวันหนึ่งพี่คนหนึ่งเขาก็เดินมาบอกว่า อย่าลืมว่าตัวเองเป็นใคร และการที่เปรียบเทียบคนอื่นมันมีแต่กดตัวเองให้แย่ลง ลองคิดสิว่าสิ่งที่เรามี มันคือของดีของเรานะ จำตรงนั้นไว้ นั่นคือสิ่งที่ดีที่สุด

 

TP: โจทย์สำคัญของศิลปินคือการโชว์บนเวที บีนแก้โจทย์ที่มาทุกครั้งยังไง

BEAN: เวลาเราขึ้นเวทีแล้วตื่นเต้นมันจะลืมทุกอย่างเลย ลืมแม้แต่เนื้อเพลง ดังนั้นคือก่อนหน้านั้นคือต้องซ้อมให้ดีมากๆ ต้องวอร์มเสียงก่อน “ไม่ให้มันปลิ้น” เพราะเราเป็นนักร้อง ดังนั้นเสียงเราคือห้ามพลาดเลย มันปลดปล่อยพลังตรงนั้นแล้ว เสียงเราต้องพร้อม การซ้อม การวอร์มเสียง คือสำคัญมาก บีนอาจจะออกกำลังกายหนักหน่อยช่วงก่อนโชว์ ยังมีเรื่องของการเพอร์ฟอร์ม ก็ต้องเหมือนทำตัวเองให้ใหญ่ เราจะอ้าแขนออกมา กางมันออกไป…ให้ความรู้สึกยิ่งใหญ่ที่สุด (คล้ายๆ ส่งต่อเอเนอร์จีการแสดงถึงคนดู) เพื่อที่เวลาอยู่บนเวที เราต้องดำเนินโชว์ไปข้างหน้าเราก็จะต้องตัวใหญ่ขึ้นมาทันที ซึ่งอันนี้เป็นข้อเตือนไจที่ดีเวลาขึ้นเวที เพราะเรา “ออน สเตจ” เราต้องสนุกกับคนดู ต้องทำมันเต็มที่ที่เราซ้อมมาทั้งหมด

คือสิ่งที่เราต้องปล่อยตรงนี้…ต้องใช้เวลา มันใช้เวทีต่างๆ ในการแลกมาเหมือนกัน เพื่อที่จะแลกประสบการณ์ ใช้เวลาหลายปีเหมือนกันกว่าที่บีนจะเข้าใจ กว่าจะพยายามทำตัว “ตัวใหญ่” ให้ได้ เพราะบีนเป็นคนขี้อายมาก พอเราต้องไปอยู่บนเวที เราต้องเป็นอีกแบบหนึ่งเลย…ต้องไม่ขี้อาย เราจะไม่มีความเขิน ต้องค่อยๆ ปรับ mindset ตัวเองไปเรื่อยๆ เหมือนเราคิดว่าเราต้องมอบอะไรสักอย่างให้กับคนดูน่ะค่ะ แต่ถ้าเรายังเก้ๆ กังๆ มีความกังวลใจ หรือขี้อายอยู่มันก็ไม่ได้ทำสักที เดี๋ยวมันจะมีวันหนึ่งที่จะปลดล็อกเองว่า วันนั้นคุณจะต้อง “ตัวใหญ่” แล้วนะ มันไม่มีเวลาให้มารีรอแล้ว

TP: เพลงไหนที่บอกความเป็นบีนมากที่สุด

BEAN: เพลง “ไม่อยากเป็นเพื่อนกับแฟนเก่า” เพราะมันเป็นเพลงที่ใช้เวลาหาตัวตนนาน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องลุก เรื่องการร้อง วิธีการร้อง การเล่าเรื่องด้วย ว่าจะเล่าเรื่องในเพลงออกมาแบบไหน เพลงนี้เป็นตัวแทนของผู้หญิงที่แข็งแกร่งในเรื่องของความรัก แล้วก็กล้าที่จะตัดสินใจ เป็นตัวแทนของคนที่ไม่อยากเอาตัวเองไปอยู่ในจุดที่ไม่มีคุณค่า

จนถึงตอนนี้บีนก็ยังคงทำเพลงป็อปอย่างเพลงนี้ออกมาก่อน คง “คอนเซปต์ของ บีน นภสร” ไว้ ในอนาคตถ้ามีโอกาสอยากจะทำจริงๆ เราอยากร้องแนวที่เราชอบคือ R&B กับ Soul ซึ่งเป็นสิ่งที่บีนชอบมาตั้งแต่เด็กแล้ว เคยใช้แนวนี้ในเพลงของเราบ้างแล้ว แต่รู้สึกว่ามันยังไม่เข้าถึงคนดูมาก ดังนั้นวันหนึ่งถ้ามีโอกาส อยากก็จะปล่อยเพลงแนวนี้บ้าง

 

TP: อะไรเป้าหมายต่อไปที่บีนกำลังก้าวไปหา

BEAN: ของบีนจะมองเป็นขั้นๆ ไป อย่างปีนี้เราอยากมีอัลบั้ม อีกปีหนึ่งเราอยากมีคอนเสิร์ตของตัวเอง อาจจะเป็นขนาดเล็กอยู่ แต่อีกปีแฟนคลับเราต้องเยอะแล้ว เราต้องจัดเวทีที่ใหญ่กว่านั้นให้ได้ เราตั้งเป้าสูงสุดก็คือมีคอนเสิร์ต บีนเชื่อว่าศิลปินหลายคนก็คงอยากเล่นที่ Impact เหมือนกัน แต่ก่อนหน้านั้นคือเราจะทำอะไรบ้าง มันก็ต้องค่อยๆ วางไป เช่น เดือนหนึ่งเรามีโชว์สัก 20 งานนะ แล้วก็ค่อยๆ ไป เราเริ่มมีคอนเสิร์ต เราเริ่มมีอัลบั้ม แฟนเพลงเริ่มชอบเรามากขึ้นกว่าเดิมอีก

  • จุดเริ่มจริงๆ ของการเป็นนักร้องของบีน…
    “มุมคาราโอเกะของร้านอาหารที่เปิดโดยครอบครัวของบีน คือการจุดประกายความเป็นนักร้องในตัวเธอ”
  • ถ้าบีนเป็นเครื่องดนตรี บีนน่าจะเป็น…
    ”ฮาโมนิกาค่ะ จิ๋วแต่แจ๋ว มันต้องใช้พลังในการเป่า”
  • สิ่งที่หลายคนอาจไม่รู้เกี่ยวกับตัวเธอ…
    “บีนเป็นคนหูกางข้างเดียว พยายามจะปกปิดมันมานาน แต่สุดท้ายมันชอบแลบออกมาข้างเดียว ตอนเด็กๆ พยายามทำทุกอย่างให้มันหายกาง…เอาสติกเกอร์มาแปะ ตอนนอนก็ทับไว้ข้างเดียว หาคลินิกที่จะผ่าตัดใบหู… จริงจังเลย ชอบมองว่าเป็นปมด้อย ตอนเด็กๆ เป็นเด็กที่ใส่แว่น หูกาง ฟันหลอ…ครบครัน (หัวเราะ) พอเพื่อนแซวว่าหูกางแล้วกระทบจิตใจมาก ก็เลยพยายามจะเก็บมันมาตลอด แต่มารู้สึกทีหลังว่ามันเป็นเรื่องที่อะเมซิงสำหรับตัวเอง”
Author

กฤษณา คชธรรมรัตน์

Author

นักเขียนที่ให้ความสนใจกับทุกเรื่องบนโลก อย่างละนิดอย่างละหน่อย บ่อยครั้งจึงวาร์ปไปเขียนเรื่องโน้นเรื่องนี้อย่างสนุกสนาน