People

“โค้ชครูเปลว” บัณฑิต ลึกกันทึก
ครูพละผู้ปั้นชีวิตทีมลูกหนังเด็กวัด

เพ็ญแข สร้อยทอง 6 Jun 2025
Views: 718

Summary

ครูพละหนุ่มจากลำพูน ผู้ใช้ฟุตบอลเป็นเครื่องมือเปลี่ยนชีวิตเด็กๆ จากโรงเรียนธรรมสาธิตศึกษา ให้กลายเป็นนักเตะหัวใจแกร่งที่พร้อมวิ่งสู้ฟัดเพื่ออนาคต ผู้ชายที่ทำหน้าที่ทั้งครู โค้ช และพ่อแม่ในคนเดียว คุมเข้มวินัย คอยดูแลทั้งในและนอกสนาม พาเด็กๆ ฝ่าด่านชีวิตและนำพาทีมเล็กๆ สู่อะคาเดมีระดับจังหวัด แม้จะดุไปบ้าง แต่ทุกอย่างมาจากใจที่หวังดี เพราะเขาเชื่อว่าในตัวทุกคนมีประกายงามซ่อนอยู่ รอเพียงใครสักคนจะมองเห็นและช่วยขัดเกลาให้เปล่งแสง

กริ่งงง…!

เมื่อเสียงกริ่งบอกเวลาเลิกเรียนดังขึ้น เด็กส่วนใหญ่ต่างมุ่งหน้ากลับบ้าน แต่ยังมีเด็กกลุ่มหนึ่งที่วิ่งไปอีกทาง ตรงสู่สนามฟุตบอล ดวงตาเปล่งประกายด้วยความฝัน และที่นั่น… มีชายคนหนึ่งยืนรออยู่แล้ว

เขาคือ “โค้ชครูเปลว” – บัณฑิต ลึกกันทึก

ชายผู้ใช้ฟุตบอลเป็น “เครื่องมือในการหล่อหลอมชีวิต” โดยเชื่อว่าทุกคนสามารถเปล่งประกายได้ หากมีใครสักคนมองเห็นคุณค่า และคอยจุดไฟให้ฝันของพวกเขา

 

“เด็กที่มาอยู่นี่ห่างจากพ่อแม่ เราต้องเป็นพ่อเป็นแม่ของเขา

ต้องดูแลทุกคน เหมือนเขาเป็นลูกของเรา

“โค้ชครูเปลว” – บัณฑิต ลึกกันทึก
ครูพละ โรงเรียนธรรมสาธิตศึกษา – โค้ชอะคาเดมีทีมธรรมสาธิตยูไนเต็ด

 

โรงเรียนธรรมสาธิตศึกษา อำเภอป่าซาง จังหวัดลำพูน ที่โค้ชครูเปลวทำงานอยู่คือโรงเรียนการกุศลในพระพุทธศาสนา เป็นโรงเรียนใต้ร่มเงาของวัดที่เปิดประตูต้อนรับเด็กๆ ให้ได้เรียนรู้ เติบโต และใช้ทักษะฟุตบอลเป็น “ใบเบิกทาง” สู่ทุนการศึกษาและโอกาสที่ไกลกว่าแค่ในสนาม ผ่านประตูสโมสรฟุตบอลธรรมสาธิต ยูไนเต็ด ซึ่งมี พระปลัดศิวนัฐ เมธีปชฺโชโต เป็นผู้ริเริ่มก่อตั้งสโมสรฟุตบอลแห่งนี้ ด้วยตั้งใจให้ฟุตบอลขัดเกลาเด็กให้เป็นคนดี

ส่วนโค้ชครูเปลวคือหนึ่งในหัวใจของทีม เขาดูแลเด็กๆ ทีมฟุตบอลที่มาอยู่รวมกันในหอพักของโรงเรียน ตั้งแต่การฝึกซ้อม พาไปแข่งขัน กวดขันเรื่องเรียน เป็นทั้งที่ปรึกษาและผู้ปกครองในเวลาเดียวกัน

 

✔ ทำหน้าที่เป็นทั้งครู เป็นทั้งโค้ช

และเป็นผู้ปกครอง ของลูกศิษย์

 

“เราพยายามจะอยู่กับเด็กตลอด 24 ชั่วโมง มีปัญหาอะไรก็คุยกัน เพราะเด็กที่มาอยู่นี่ห่างจากพ่อแม่ เราต้องเป็นพ่อเป็นแม่ของเขา ต้องดูแลทุกคน เด็กบางคนป่วย เราก็พาไปโรงพยาบาล เฝ้าดูอาการ เหมือนเขาเป็นลูกของเรา”

ปลายทาง เมื่อเด็กๆ ประสบความสำเร็จ เขารู้สึก “ตื้นตัน” และ “ดีใจ” อย่างบอกไม่ถูก เปรียบเทียบความรู้สึกนี้กับการที่ “คุณพ่อคุณแม่ที่เห็นลูกเรียนจบ” ซึ่งโค้ชครูเปลวยืนยันว่าเป็นความรู้สึก “เดียวกันเลย”

 

โค้ช ครู และความฝันที่ไปไกลกว่าแค่แชมป์

บัณฑิต ลึกกันทึก วัย 35 ปี เป็นคนลำพูนโดยกำเนิด หลังจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ เขากลับบ้านเกิด มาทำงานเป็นครูพละ โรงเรียนธรรมสาธิตศึกษา และได้สานต่อบทบาทนี้ด้วยความตั้งใจมานาน 12 ปี

ที่โรงเรียนธรรมสาธิตศึกษา เขาได้มาพบกับ “โค้ชต้น” – เฉลิมพล มาบาง ผู้ที่เพิ่งล่วงลับจากไป ในเวลานั้นโค้ชต้นกำลังดูแลทีมลำพูน วอริเออร์ อยู่ และเห็นแววบางอย่างในตัวโค้ชครูเปลว เลยชวนเขามาช่วยสอนเด็กในอะคาเดมีช่วงสุดสัปดาห์ และหลังเลิกสอน ทุกเย็นวันจันทร์ถึงศุกร์ เขาฝึกนักฟุตบอลเยาวชนของโรงเรียน พร้อมพัฒนาเส้นทางของตัวเองในฐานะโค้ชอย่างจริงจัง ปัจจุบันเขามีใบอนุญาตโค้ชระดับ G License

แม้ “ครูพละ” กับ “โค้ชฟุตบอล” จะดูเป็นบทบาทที่แตกต่างกัน แต่สำหรับโค้ชครูเปลว ทั้งสองหน้าที่มีจุดร่วมเดียวกันชัดเจน คือการผลักดันให้เด็กๆ ประสบความสำเร็จในชีวิต

ในห้องเรียน เขาเข้าใจดีว่าเด็กมีความหลากหลาย บางคนรักกีฬา บางคนไม่ชอบวิชาพละเลยด้วยซ้ำ งานของเขาจึงไม่ใช่แค่สอนให้เด็กออกกำลังกาย แต่ต้องสร้างความเข้าใจว่าทำไมสุขภาพจึงสำคัญ ทำไมกติกาจึงต้องเคารพ และที่สำคัญ จะทำอย่างไรให้เด็กอยากเรียนพละด้วยหัวใจ

 

✔ ต้องเข้าใจว่าเด็กที่สอนมีความหลากหลาย

 

ขณะเดียวกัน ในสนามฟุตบอล เขาต้องดูแลเด็กที่มีความฝันอยากเป็นนักเตะอาชีพ โค้ชครูเปลวจึงย้ำเสมอว่า “เส้นทางนั้นไม่ง่าย” ต้องมีวินัย ต้องทุ่มเท และต้องเดินไปด้วยกัน

แต่เหนือสิ่งอื่นใด เขายึดมั่นในหลักการว่า “การเรียนต้องมาก่อน”

“ผมบอกเด็กเสมอว่า ต่อให้ได้แชมป์ระดับประเทศ แต่ถ้าเรียนไม่จบ ก็ไปต่อไม่ได้ แต่ถ้าเรียนจบด้วย ได้แชมป์ด้วย เราจะมีทั้งโอกาส มีโปรไฟล์ มีโควตาเข้ามหาวิทยาลัยดีๆ ได้เลย”

 

จากข้างสนาม…สู่เงาไม้ในสวนลำไย

ระหว่างเสียงนกหวีดกับเสียงไก่ขัน…คุณคิดว่าโค้ชคนนี้เลือกอะไรในวันหยุด?

ในวันธรรมดา “บัณฑิต ลึกกันทึก” หรือที่เด็กๆ เรียกกันติดปากว่า “โค้ชครูเปลว” คือชายผู้เปี่ยมไฟ บัญชาการเกมอยู่ข้างสนามฟุตบอลอย่างมุ่งมั่น พร้อมๆ กับบทบาทครูผู้ถ่ายทอดวิชาให้เด็กๆ ในห้องเรียนอย่างเต็มกำลัง

แต่พอถึงวันหยุดสุดสัปดาห์ เขาก็วางตำรา ถอดหมวกโค้ชวางไว้ชั่วคราว เก็บนกหวีดไว้ในลิ้นชัก แล้วกลับบ้านไปฟังเสียงนก เสียงไก่ เสียงวัวในฟาร์ม และใช้เวลาสงบๆ ท่ามกลางสวนลำไยและมะม่วงที่ตัวเองดูแล

“ผมเป็นคนบ้านนอกครับ” โค้ชครูเปลวพูดด้วยถ้อยคำเรียบง่าย “ผมโตมากับสิ่งพวกนี้” เขาหมายถึงวิถีชีวิตเกษตรกรรมของครอบครัว “ผมชอบเลี้ยงสัตว์แล้วก็ทำสวนครับ วันเสาร์อาทิตย์ ถ้าว่างจากฟุตบอลและงานสอน ผมก็ไปดูแลสวนมะม่วง สวนลำไย เลี้ยงวัว เลี้ยงไก่ครับ”

งานโค้ชและครูอาจเต็มไปด้วยแรงกดดัน ต้องรับมือกับผู้คนมากมายและความคาดหวังรอบด้าน แต่ในสวนแห่งนี้ เขาได้พักหายใจ ได้อยู่กับธรรมชาติที่คุ้นเคย และได้เติมพลังแบบเงียบๆ

เพื่อที่ในวันจันทร์ เขาจะกลับมาเป็นโค้ชและครูผู้เปี่ยมไฟ…ได้อีกครั้ง

 

✔ หน้าที่ของครูและโค้ช

คือสอนทักษะในสนามและสอนวินัยและชีวิตนอกสนาม

เล่นฟุตบอลไปข้างหน้า เพื่อยิงประตู

“เล่นฟุตบอลไปข้างหน้า เพื่อไปยิงประตู” คือปรัชญาการสอนที่เรียบง่ายแต่ชัดเจนของโค้ชครูเปลว

สิ่งที่โค้ชครูเปลวสอนเด็กๆ ไม่ได้มีแค่ทักษะในสนาม เขายังปลูกฝังวินัยในทุกด้านของชีวิต ตั้งแต่การใช้ชีวิตประจำวัน การกิน การนอน การอยู่ร่วมกัน ไปจนถึงการเป็นทีมที่รักกันและช่วยเหลือกันอย่างมีน้ำใจ

นอกสนาม โค้ชพาเด็กๆ ไปทำกิจกรรมจิตอาสา เช่น สวดมนต์ ทำความสะอาดวัด เพื่อเสริมสร้างคุณธรรมและจิตใจที่เข้มแข็ง ทีมฟุตบอลและโรงเรียนจึงกลายเป็นพื้นที่ปลอดภัยที่กันเด็กออกจากสิ่งยั่วยุภายนอก

แม้เกมในสนามจะดุเดือดแค่ไหน แต่โค้ชครูเปลวรู้ดีว่า “เกมที่หนักที่สุดคือการดูแลใจเด็กวัยรุ่นนอกสนาม” โดยเฉพาะช่วงหัวเลี้ยวหัวต่ออย่าง ม.2 ถึง ม.4 ที่เด็กหลายคนเริ่มอยากรู้อยากลอง และอาจหลุดจากเส้นทาง

บ่อยครั้ง เด็กที่พัฒนาดีมาตลอด กลับหายไปหลังช่วงปิดเทอม บางคนกลับบ้าน เจอสังคมใหม่ ชีวิตอิสระ สนุกกับสิ่งที่โรงเรียนไม่มีให้ เที่ยวดึก แว้นมอเตอร์ไซค์ ใช้เวลาว่างแบบไร้เป้าหมาย และสุดท้ายไม่อยากกลับมาเรียนอีกเลย

โค้ชไม่เลือกใช้การลงโทษ แต่เลือก “การพูดคุย” แทน เรียกทั้งเด็กและผู้ปกครองมานั่งเปิดใจ บางครั้งก็ขอให้เพื่อนในทีมช่วยโน้มน้าว เพราะเด็กวัยนี้บางทีฟังเพื่อนง่ายกว่าฟังผู้ใหญ่

และส่วนใหญ่ก็มักได้ผล เด็กที่เคยหลุด มักกลับมาเสมอ

ผู้ปกครองหลายคนก็ยอมรับตรงกัน ว่าการอยู่ในทีม อยู่ในโรงเรียน คือพื้นที่ที่ปลอดภัยและดีกว่าสำหรับลูกในช่วงวัยเสี่ยงนี้

 

✔ ใช้การพูดคุยเป็นทางออกที่ดีที่สุด

ในการ “สอน” เด็กวัยรุ่น

 

เด็กวัดกับหัวใจ “วิ่งสู้ฟัด”

การจะทำให้เด็กธรรมดาๆ กลายเป็นดาวเด่น … ต้องใช้ปัจจัยหลายๆ อย่าง

ทุกปี โรงเรียนธรรมสาธิตศึกษาคัดเลือกเด็กเข้าสู่อะคาเดมีมาเป็น “นักฟุตบอลเด็กวัด” โดยมีเด็กสมัครถึง 300–400 คนต่อปี แต่รับได้เพียงไม่เกิน 50 คน ปัจจุบันมีนักเตะ 140 คน แบ่งเป็นรุ่น U14, U16 และ U18

เด็กหลายคนในทีมเป็นเด็กชาติพันธุ์จากบนดอยสูง หลายคนมาจากพื้นที่ห่างไกล หลายคนมาจากครอบครัวที่ไม่พร้อม จุดเด่นของพวกเขาคือ “ใจสู้” พวกเขารู้ดีว่าโอกาสไม่ใช่ของที่ได้มาง่ายๆ เมื่อได้ลงสนามจึงสู้อย่างเต็มที่เพื่อพิสูจน์ตัวเอง

5 ปีที่แล้ว โรงเรียนธรรมสาธิตศึกษา ซึ่งมีพระปลัดศิวนัฐ เมธีปชฺโชโต เป็นผู้รับใบอนุญาต ได้เริ่มสร้างอะคาเดมีและก่อตั้งทีมธรรมสาธิตยูไนเต็ดอย่างเป็นระบบจริงจัง จากทีมเล็กๆ สู่แชมป์จังหวัดลำพูน และเป็นตัวแทนในการแข่งขันระดับภาค ความสำเร็จของทีมยังส่งผลให้โรงเรียนที่เคยมีนักเรียนมัธยมเพียง 160 คน เติบโตเป็นกว่า 400 คน  “จากที่โรงเรียนจะเข้า ICU แล้ว ฟุตบอลนี่แหละที่เข้ามาช่วยฟื้นชีพ” โค้ชเปลวว่าไว้

สนามหญ้าเทียมจาก คิง เพาเวอร์ ก็เป็นอีกแรงผลักดันสำคัญ หลังจากที่ทางโรงเรียนได้รับสนามแห่งนี้มา ทำให้เด็กๆ ได้ฝึกทักษะได้อย่างจริงจัง ทั้งการจ่ายบอลแบบวันทัช การยิงในพื้นที่แคบ ทำให้นักฟุตบอลจึงพัฒนาเร็ว เห็นผลชัด

สำหรับเด็กหลายคนที่นี่ ฟุตบอลไม่ใช่แค่กีฬา แต่คือประตูสู่โลกใบใหม่  โลกที่พวกเขาไม่เคยฝันว่าจะได้สัมผัส เด็กบางคนได้ขึ้นเครื่องบินครั้งแรก ออกนอกจังหวัดครั้งแรก เห็นทะเลครั้งแรก ฯลฯ ทั้งหมดก็เพราะฟุตบอลพาไป

วันนี้ โค้ชครูเปลวยังคงพาเด็กๆ ตระเวนแข่งทั่วประเทศ หวังเพียงสักวันหนึ่ง จะมีใครมองเห็นศักยภาพของพวกเขา

 

เสียงดุของคนหวังดี!

ถ้าถามเด็กๆ ในธรรมสาธิตยูไนเต็ด หลายคนอาจพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “โค้ชครูเปลวนี่แหละดุที่สุด!”

และโค้ชครูเปลวก็ไม่ได้ปฏิเสธคำพูดนั้น  ทั้งยังยอมรับว่าเด็กๆ มองว่าเขาเป็นคนเจ้าระเบียบ และเข้มงวดไม่น้อย โดยเฉพาะในเรื่องวินัย

สำหรับโค้ชแล้ว วินัยคือรากฐานสำคัญของการเติบโตเป็นนักกีฬาที่ดี และเป็นคนดีของสังคมในอนาคต เขาเชื่อว่า “ต้องมีใครสักคนที่ดุบ้าง” โดยเฉพาะเมื่อต้องดูแลกลุ่มวัยรุ่นที่อยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ในการดูแลเด็กต้องใช้ทั้งความเข้มงวดและความเมตตาควบคู่กันไป

 

สอนแบบ “โค้ชครูเปลว”

✔ ทำหน้าที่เป็นทั้งครู เป็นทั้งโค้ช
และเป็นผู้ปกครอง ของลูกศิษย์

✔ ต้องเข้าใจว่าเด็กที่สอนมีความหลากหลาย

✔ หน้าที่ของครูและโค้ช
คือสอนทักษะในสนามและสอนวินัยและชีวิตนอกสนาม

✔ ใช้การพูดคุยเป็นทางออกที่ดีที่สุด
ในการ “สอน” เด็กวัยรุ่น

 

ถึงแม้จากมุมมองของเด็กๆ โค้ชจะดู “น่าเกรง” แต่เบื้องหลังความเข้มงวดนั้นคือความห่วงใย เขาต้องการให้เด็กๆ รู้จักควบคุมตัวเอง รู้จักฝึกฝน รู้จักอดทน เพราะสิ่งเหล่านี้จะติดตัวไปตลอดชีวิต และมีความหมายมากกว่าชัยชนะในสนาม

โค้ชครูเปลวยังฝากถึงเยาวชนไทยที่ฝันอยากเป็นนักฟุตบอลอาชีพว่า สิ่งสำคัญที่สุดไม่ใช่แค่ความเก่ง แต่คือการ “ชนะใจตัวเอง” มีวินัยในตัวเอง ขยัน พยายาม และไม่หยุดพัฒนาตัวเอง ที่สำคัญต้องไม่เป็น “น้ำเต็มแก้ว” อย่าหยุดเรียนรู้ และต้องรู้จักฟังโค้ช ฟังคนที่หวังดีกับเรา พร้อมย้ำว่า “อย่าออกนอกลู่นอกทาง”

และเขาก็ใช้ชีวิตเป็นตัวอย่างของคำพูดนั้นในทุกๆ วัน

ทั้งหมดนี้ทำให้ โค้ชครูเปลวไม่ใช่แค่ครูพลศึกษาหรือโค้ชฟุตบอลธรรมดา แต่เขาคือภาพแทนของพลังในการใช้กีฬาเปลี่ยนชีวิต

ในวงการฟุตบอลเยาวชนไทยที่เต็มไปด้วยดาวรุ่ง อาจมีเพียงไม่กี่คนที่รู้ว่า ยังมีคนแบบ ‘โค้ชครูเปลว’ อีกมากมายในเงามืด กำลังขัดเกลาให้เด็กวัดธรรมดา ๆ เปล่งประกายอย่างเงียบงาม

 

100 สนามฟุตบอล สร้างพลังเยาวชนไทย: จุดเริ่มต้นเล็ก ๆ สู่ ‘ล้านความเป็นไปได้’

Author

เพ็ญแข สร้อยทอง

Author

เชื่อในพลังของตัวอักษรและการเล่าเรื่องเพื่อสร้างแรงบันดาลใจ นอกเหนือจากบ้านแล้ว ใช้เวลาส่วนใหญ่ในร้านกาแฟ ชอบเที่ยว ชิมอาหาร อ่านหนังสือ ดูซีรีส์ ฟังเพลง แคคตัส และแมว

Web Editor

ปิ่นอนงค์ วัชรปาณ

Web Editor

บรรณาธิการเว็บ Thaipower.co อดีตบรรณาธิการบางสำนัก นักข่าวและคอลัมนิสต์จำเป็น โกสต์ไรเตอร์...ผู้รักการเดินทาง หลงใหลกลิ่นกาแฟ และเป็นมูฟวีเลิฟเวอร์